4 จำนวนผู้เข้าชม |
ปฎิเสธไม่ได้ว่า…ในยุคที่เทคโนโลยีและระบบไฟฟ้าทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนชีวิตประจำวันและการดำเนินธุรกิจ “เครื่องสำรองไฟ” หรือ UPS (Uninterruptible Power Supply) กลายเป็นสิ่งจำเป็นมากกว่าแค่ตัวเลือกเสริม เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟดับ ไฟกระชาก หรือแรงดันไฟฟ้าไม่คงที่ UPS จะทำหน้าที่จ่ายไฟสำรองทันที ปกป้องอุปกรณ์และข้อมูลสำคัญไม่ให้เกิดความเสียหาย
วันนี้ Maxipowerplus จะมาช่วยคุณเลือก UPS ที่เหมาะสม ไม่ว่าจะใช้ในบ้าน หรือในธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ค่ะ
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจ UPS กันก่อน โดยเริ่มจาก UPS หรือ Uninterruptible Power Supply คือ อุปกรณ์ที่จ่ายไฟฟ้าสำรองให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในช่วงเวลาที่ไฟดับ ไฟตก หรือเกิดไฟกระชาก โดย UPS จะให้เวลาในการบันทึกงาน ปิดอุปกรณ์อย่างปลอดภัย หรือให้ระบบทำงานต่อเนื่องจนกว่าไฟฟ้าจะกลับมา
ดังนั้น UPS จึงต่างจากปลั๊กกันไฟกระชากตรงที่สามารถจ่ายไฟได้จริง ไม่ได้แค่กันไฟกระชากเท่านั้นค่ะ
ในการเลือกซื้อ UPS เราควรรู้จักประเภทของเครื่องสำรองไฟที่มีให้เลือกในตลาด ซึ่งหลักๆมีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่
ประเภท | เหมาะกับ | ข้อดี | ข้อจำกัด |
Offline / Standby UPS | เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เครื่องใช้สำนักงานขนาดเล็ก เป็น UPS พื้นฐานที่ราคาประหยัด เมื่อไฟดับ UPS จะสลับไปใช้แบตเตอรี่ภายในทันที | ราคาถูก ใช้งานง่าย | สลับไฟช้าเล็กน้อย อาจไม่เหมาะกับอุปกรณ์ที่ไวต่อแรงดันไฟ |
Line Interactive UPS | เหมาะสำหรับคอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ขนาดเล็ก หรืออุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรของแรงดันไฟ โดยจะมีระบบควบคุมแรงดัน (AVR) ช่วยปรับแรงดันไฟให้นิ่งขึ้น | ป้องกันไฟกระชาก ไฟตก ได้ดีกว่าแบบ Offline | ราคาเริ่มต้นสูงขึ้นเล็กน้อย |
Online UPS | เหมาะสำหรับอุปกรณ์สำคัญ เช่น เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ ระบบกล้องวงจรปิด หรืออุปกรณ์ในโรงงาน เพราะจ่ายไฟผ่านแบตเตอรี่ตลอดเวลา ทำให้ไม่มีการสลับไฟเลย | ให้ไฟนิ่งที่สุด ไม่มีดีเลย์ | ราคาสูงกว่าแบบอื่น และมีความซับซ้อนในการดูแลมากกว่า |
เนื่องจากเครื่องสำรองไฟสำหรับบ้าน และ ธุรกิจมีความแตกต่างค่อยข้างมาก ดังนั้นเราต้องมาทำการประเมินความเหมาะสมกันค่ะ โดยมีเกณฑ์ดูได้ตามนี้
สิ่งแรกที่ควรรู้คือ คุณจะใช้ UPS กับอะไรบ้าง? อย่างเช่น คอมพิวเตอร์ จอภาพ เราเตอร์ หรือ NAS ให้ลองรวมกำลังไฟที่อุปกรณ์เหล่านี้ใช้ก่อน แล้วเผื่อไว้อีกประมาณ 20–30% เพื่อความปลอดภัย
รวมทั้งหมด 430W → เผื่ออีก 30% = ประมาณ 560W
แปลว่า UPS ที่เลือก ควรรับไฟได้อย่างน้อย 560W หรือ 700VA ขึ้นไป
หมายเหตุ : ค่าที่เขียนว่า VA กับ Watt ต่างกันเล็กน้อย ค่า VA จะมากกว่าเพราะรวมค่าความสูญเสียในระบบไฟด้วย (เรียกว่า Power Factor)
UPS บางรุ่นจ่ายไฟได้แค่ 5 นาที บางรุ่นอยู่ได้เกือบชั่วโมง เพราะฉะนั้น ต้องมาสำรวจความเหมาะสมของตัวเอง ได้แก่
บางรุ่นมีฟังก์ชันที่ช่วยให้ใช้งานง่ายขึ้น และดูแล UPS ได้สะดวกขึ้น เช่น:
UPS เป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้งานระยะยาว และเกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าที่สำคัญของสถานที่ ลองนึกภาพว่าการติดตั้ง UPS ก็เหมือนกับการวางระบบไฟหรือระบบน้ำในบ้านหรือที่ทำงานเลยค่ะ
ถ้าเลือกผิดตั้งแต่แรกแล้วต้องมารื้อ เปลี่ยน หรือแก้ไขทีหลัง แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว เพราะฉะนั้น การเลือกแบรนด์ที่ดีและผู้จัดจำหน่ายที่น่าเชื่อถือตั้งแต่แรก จะช่วยลดปัญหาจุกจิกในระยะยาวไปได้เยอะมาก
แนะนำให้เลือกแบรนด์ที่มีรีวิวดี, มีศูนย์บริการในไทย, มีอะไหล่หรือแบตเตอรี่รุ่นที่รองรับได้ง่าย เช่น APC, CyberPower, Eaton หรือ เลือกผู้จัดจำหน่ายที่มีประสบการณ์ เปิดให้บริการมานาน มีทีมงานมืออาชีพ และดูแลหลังการขายได้ดี
อย่างเช่น Maxipowerplus ที่นี่เราพร้อมให้บริการแบบครบวงจร ทั้งออกแบบระบบและติดตั้ง UPS แก้ไข ซ่อมแซม และบำรุงรักษา ให้บริการเช่าเครื่อง UPS ทั้งแบบรายครั้ง รายเดือน หรือรายปี รองรับบริการ 24 ชั่วโมง / 7 วัน / ตลอดทั้งปีเลยค่ะ
สอบถามเพิ่มเติมหรือขอคำปรึกษาได้ที่ LINE: https://lin.ee/hHBrup5 หรือ โทรศัพท์: 02-152-6590, 095-956-4514, 084-053-1494